หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ไม้พุ่ม-ไม้คลุมดิน

ไม้พุ่ม-ไม้คลุมดิน

ไม้พุ่ม
                                                                    
      กระเจี๊ยบแดง เป็นพืชสมุนไพรที่เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงประมาณ 3–6 ศอก ลำต้นและกิ่งก้านมีสีม่วงแดง ใบมีหลายแบบด้วยกัน ขอบใบเรียบ บางทีก็มีรอยหยักเว้า 3 หยัก สีของดอกเป็นสีชมพู ตรงกลางดอกมีสีเข้มมากกว่าขอบนอกของกลีบ กลีบดอกร่วงโรยไป กลีบรองดอกและกลีบเลี้ยงก็จะเจริญเติบโตขึ้นอีกเกิดเป็นสีม่วงแดงเข้มหุ้มเมล็ดเอาไว้ภายใน

การขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ดปลูก ควรปลูกในหน้าฝน พรวนดินก่อนปลูก ขุดหลุมปลูกหลุมละ 2-3 เมล็ด ระยะห่างของหลุมประมาณ ½-1 เมตร พอต้นอ่อนงอกออกมาแล้ว ให้ถอนต้นที่อ่อนแอกว่าออกไปเอาต้นที่แข็งแรงไว้ รดน้ำ ใส่ปุ๋ย พรวนดิน กำจัดวัชพืชออกให้หมด
กระเจี๊ยบแดงยังมีชื่อเรียกอื่นอีก ได้แก่ ภาคเหนือ เรียก ผักเก็งเค็ง ส้มเก็งเค็ง เงี้ยว แม่ฮ่องสอนเรียก ส้มปู จังหวัดตาก เรียก ส้มตะแลงเครง ภาคกลาง เรียก                    
                                         กระเจี๊ยบ กระเจี๊ยบเปรี้ยว


    ขลู่  เป็นพืชที่มีลักษณะเป็นไม้พุ่ม ขึ้นเป็นกอ แตกกิ่งก้านสาขามาก ลำต้นสูงประมาณ 0.5 - 2.5 เมตร ใบมีลักษณะค่อนข้างเรียบรูปไข่กลับ กว้างประมาณ 1-5 เซนติเมตรและยาว 2.5-10 เซนติเมตร ขอบใบหยักแบบฟันเลื่อย โดยรอบมีขนขาวๆปกคลุม ก้านใบสั้นมาก เนื้อใบบาง แผ่นใบเรียบเป็นมัน ใบค่อนข้างแข็งและเปราะ ใบมีกลิ่นหอมฉุน ช่อดอกงอกออกมาจากด้านบนและซอกของใบ กลีบดอกสีม่วง ส่วนของดอกสีม่วงหรือม่วงอ่อน ประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก มีทั้งดอกตัวผู้และดอกตัวเมีย ผลแห้งเมล็ดล่อน รูปทรงกระบอกเป็นสันเหลี่ยม 10 สัน ระยางค์มีน้อย สีขาว ยาวประมาณ 4 มม. ลำต้นกลมสีน้ำตาลแดง หรือเขียว ลำต้นและกิ่งก้านมีขนละเอียดปกคลุม เมล็ดมีลักษณะเป็นฝอยเล็กๆ เมื่อแก่จะปลิวไปตามลม




ขี้ครอก  จัดอยู่ในวงศ์ Malvaceae เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงประมาณ 1 - 2 เมตร เปลือกเหนียว ลำต้นสีเขียวแกมเทา มีขนรูปดาวปกคลุมตลอดลำต้น ยอดอ่อน ใบและก้านใบ ใบ เป็นใบเดี่ยวมีการเกาะติดของใบบนต้นเรียงตัวแบบสลับ ใบรูปไข่ ขนาดประมาณ 2-8 ซม. X 2-8 ซม. ปลายใบเว้าเป็น 3 พู ปลายแต่ละพูมนหรือแหลม โคนใบมน ขอบใบหยักแบบฟันเลื่อย แผ่นใบเป็นคลื่นมีขนสากมือ ก้านใบยาว 1-5 ซม. มีหูใบ 1 คู่ รูปรี กว้าง 0.1 ซม. ยาว 0.2 ซม. ดอก ออกเดี่ยวๆ เกิดที่ซอกใบ สีชมพูแกมม่วง ดอกบานมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5-3.0 ซม. กลีบดอกรูปไข่กลับ 5 กลีบ กลีบเลี้ยง 5 กลีบ กลีบประดับ 5 กลีบ เกสรเพศผู้จำนวนมากสีชมพูม่วง ก้านชูสีขาวนวลรวมกันเป็นหลอดหุ้มเกสรเพศเมียไว้ ปลายเกสรแยกเป็น 10 ก้านสั้นๆ ส่วนปลายเป็นตุ่ม ผล ทรงกลมแป้นแบ่งเป็น 5 พู ผิวผลมีหนามแข็งสั้นและมีน้ำเหนียวติด เมล็ด รูปไตสีน้ำตาลขนาดประมาณ 2-2.5 มม. X 3-4 มม. มีพูละ 1 เมล็ด

ชื่ออื่นๆของขี้ครอก คือ ขมดง ชบาป่า บอเทอ ปะเทาะ ปอเส้ง ปูลุ เส้ง หญ้าผมยุ้ง หญ้าอียู หญ้าหัวยุ่ง นางนวล




ชุมเห็ดเทศ   เป็นพรรณไม้พุ่มขนาดกลาง ลำต้นมีความสูง 2-3 เมตร ก้านใบนั้นยาว ในก้านหนึ่งนั้นจะมีใบแตกออกเป็น 2 ทาง มีลักษณะคล้ายใบมะยม แต่จะโตและยาวกว่าประมาณ 10-12 ซม. และกว้างประมาณ 3-6 ซม.
ใบเป็นใบประกอบขนนก มีความยาวประมาณ 30-60 ซม. ใบย่อยจะเรีงกันเป็นคู่ ๆ 8-20 คู่ ลักษณะใบย่อยนั้นจะรูปขอบขนานแกมรูปรี โคนใบจะมน ตรงปลายใบของมันมนหรือเว้าเล็กน้อย ฐานใบนั้นจะมน และไม่เท่ากันทั้ง 2 ข้าง ขอบใบเรียบเป็นสีแดง ใบจะมีความกว้างประมาณ 5-7 ซม. และยาวประมาณ 5-15 ซม. ก้านใบย่อยสั้นมาก
ดอกจะออกเป็นช่อใหญ่ ตามง่ามใบใกล้ปลายกิ่ง มีความยาวประมาณ 20-50 ซม. ดอกจะเป็นสีเหลือง ดอกตูมนั้นคล้ายดอกข่า และเมื่อดอกบานจะเป็นสีเหลืองเข้ม กลีบรองกลีบดอกจะมีอยู่ 5 กลีบ เป็นรูปขอบขนาน สีเขียวตรงปลายของมันจะแหลม ส่วนก้านดอกนั้นจะสั้นและมีลายเส้นเห็นได้ชัด
เกสรตัวผู้จะมีอยู่ประมาณ 9-10 อัน แต่มีความยาวไม่เท่ากันอับเรณูเมื่อแก่จะมีรูเปิดที่ยอด ส่วนเกสรตัวเมียนั้นมีอยู่1อันผิวเกลี้ยง
ผลนั้นจะออกฝัก แต่ไม่มีขน ฝักเป็นรูปบรรทัด หนา มีความกว้างประมาณ 1.5-2 ซม. และยาวประมาณ 10-15 ซม. จะมีปีกอยู่ 4 ปีก มีความกว้างประมาณ 5-8 มม. และยาวประมาณ 7-10 มม.ผิวนอกนั้น จะขรุขระเป็นสีดำ
ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด


ปอบิด  เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก มีความสูงประมาณ 1-3 เมตร มีขนสีน้ำตาลปกคลุมทั่วทุกส่วน ลำต้นกลม เรียว อ่อนคล้ายเถา บริเวณส่วนเปลือกมีสีเทาและมียางเหนียว ใบเป็นใบเดี่ยวรูปไข่ แผ่นใบสาก ท้องใบจะมีขน
กว้าง 2.5-3.5 นิ้ว ยาว 4-8 นิ้ว ม้วนเว้าเข้าหากัน ขอบใบหยักเป็นแบบฟันปลา ดอกจะมีสีส้มหรือสีแดงอิฐ จะออกเป็นกระจุกระหว่างต้นกับใบ กระจุกละประมาณ 2-3 ดอก แต่ละดอกมีใบประดับขนาดเล็กรองรับ
มีกลีบรองกลีบดอกสีเหลือง มีกลีบดอก 5 กลีบ กลีบคู่บนมีขนาดใหญ่กว่ากลีบอื่น ปลายกลีบมน มีทั้งเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมีย เกสรตัวผู้มีสีเหลือง มี 10 อันเชื่อมรวมกับก้านของเกสรตัวเมีย ผล มีลักษณะเป็น
ฝักยาว กลม บิดเป็นเกลีบวมีทั้งบิดซ้ายและบิดขวา ยาว 3-4 เซนติเมตร ออกผลประมาณเดือนธันวาคม-มกราคม เมื่อแก่จะมีสีน้ำตาลหรือสีดำ แก่เต็มที่ฝักจะอ้าออก


พุดทุ่ง หรืออาจเรียกว่า พุดน้ำ, ถั่วหนู, หัสคุณใหญ่, หัสคุณเทศ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงประมาณ 2-5 ฟุต ลำต้นกลม ตั้งตรง เปลือกต้นของกิ่งก้าน และลำต้นมีสีน้ำตาลดำ ใบเดี่ยวรูปหอก ปลายแหลม เนื้อหนา ดอกเป็นช่อกลีบสีขาวหนา ผลเป็นฝักกลมยาว





มลุลี เป็นไม้เถาเลื้อยที่มีดอกสีขาวคล้ายมะลิ มีกลิ่นหอมตลอดทั้งวัน เลื้อยไกลราว 1-2 เมตร





มะจอเต๊ะ เป็นไม้พื้นเมืองที่พบอยู่ทางตอนใต้ของประเทศไทย แถบจังหวัดนราธิวาส จึงทำให้ชื่อเป็นในภาษายาวี ลักษณะเป็นไม้พุ่มอิงอาศัยเกาะตามต้นไม้ใหญ่ ลำต้น กิ่งและใบ มีน้ำยางสีขาวขุ่น ผลแบบมะเดื่อออกตามซอกใบ แบ่งออกเป็น 2 ชนิดย่อย คือชนิดใบแคบ ที่ใบรูปขอบไข่กลับ ขนาดใบ กว้าง 2 – 2.5 เซนติเมตร ยาว 4 – 5 เซนติเมตร กับชนิดใบกว้าง ใบรูปไข่กลับกว้าง ๆ จนเกือบกลม ขนาดใบ กว้าง 4 – 7 เซนติเมตร ยาว 5 – 9 เซนติเมตร ทั้งสองพันธุ์ สามารถพบได้ในป่าในแถบจังหวัดนราธิวาส


รามใหญ่ มีชื่อเรียกอื่นๆ ว่า กระดูกไก่ ก้างปลา ก้างปลาเขา เหมือด อ้ายรามใบใหญ่ เป็นไม้พุ่ม สูง 1.5 -3 เมตร ใบหนา ผิวเรียบ ดอกช่อ ออกที่ปลายกิ่ง กิ่งอ่อนสีแดงอมน้ำตาล คนสมัยโบราณ มักคุ้นกับ "รามใหญ่" ในรูปที่นำใบ-ยอดมาปรุงอาหาร รวมทั้งเป็นผักสดจิ้มกับน้ำพริก




อาเคเชีย  เป็นไม้สกุลของไม้พุ่มหรือไม้ต้นที่อยู่ในวงศ์ย่อย Mimosoideae ของวงศ์ถั่ว บันทึกเป็นครั้งแรกในแอฟริกาโดยนักชีววิทยาชาวสวีเดนคาโรลัส ลินเนียส ในปี ค.ศ. 1773 มักจะเป็นไม้ที่มีหนามและฝัก ชื่อมาจากคำว่า ภาษากรีก “ακις” (อาคิส) ที่แปลว่าปลายแหลมเพราะเป็พืชที่มีหนามแหลมของสปีชีส์ “Acacia nilotica” (“อาเคเชียไนล์”) ของอียิปต์
ชื่ออื่นที่รู้จักคือ “ต้นหนาม” หรือ “ต้นวัตเติลส์” หรือ “อาเคเชียไข้เหลือง” และ “อาเคเชียร่ม”
อาเคเชียมีด้วยกัน 1300 สปีชีส์ทั่วโลก ในจำนวนนั้น 960 สปีชีส์อยู่ในออสเตรเลีย นอกจากนั้นก็อยู่ในบริเวณที่มีอากาศอุ่นของทั้งสองซีกโลกที่รวมทั้งยุโรป, แอฟริกา, เอเชียใต้ และ อเมริกา


ไม้คลุมดิน

ก้ามปูหลุด
กำแพงเงิน
กำมะหยี่ม่วง
คุณนายตื่นสาย
โครงเคลงเลื้อย
เงินไหลมา
ซิไซเดซี่
ดาดตะกั่ว
บัวดิน
บุษบาฮาวาย
ปริกน้ำค้าง
ปีกแมลงสาบ
พรมออสเตรเรีย
ปีปฝรั่ง
เปเปอร์โรเมีย
พรมกำมะหยี่
ผักเป็ด
ฟ้าประดิษฐ์
ฟิโลเดนตรอน
เฟิน
รางทอง
ว่านกาบหอยแครง
เวอร์บีน่า
แววมยุรา
หนวดปลาดุก
หลิวไต้หวัน
หัวใจสีม่วง
ดาดทับทิม
กระดุมทองเลื้อย




7 สาขาวิชาชีพที่เคลื่อนย้ายได้เมื่อเปิด AEC


7 สาขาวิชาชีพที่เคลื่อนย้ายได้เมื่อเปิด AEC


ตราแผ่นดินประจำประเทศในอาเซียน


ตราแผ่นดินประจำประเทศในอาเซียน



การมองโลกในแง่ดี

       

         การมองโลกในแง่ดีนั้นเป็นสิ่งที่คนเราสามารถฝึกฝนขึ้นมาได้ มีงานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่า ในระยะยาว คนที่มองโลกในแง่ดีจะรับมือกับความเครียดได้ดีกว่าคนมองโลกในแง่ร้าย รวมทั้งเจ็บป่วยน้อยกว่า อายุยืนกว่า มีความสุขและความสำเร็จมากกว่าด้วย
       
       “คนมองโลกในแง่ดี” ในที่นี้หมายถึง บุคคลที่ให้ความสำคัญกับเรื่องราวด้านบวกมากกว่าด้านลบ และหากคุณคิดอยากเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนมองโลกในแง่ดี บางทีเทคนิคเล็กๆน้อยนี้อาจช่วยคุณได้
       
       1.ใช้วิกฤตให้เป็นโอกาส
       
       ท่ามกลางวิกฤต ยังมีโอกาสที่จะทำให้คุณได้ฝึกมองโลกในแง่ดี ยกตัวอย่างเช่น หากเกิดอุบัติเหตุ จนต้องสูญเสียแขนซ้ายไป คนส่วนใหญ่มักเศร้าเสียใจ ร้องไห้คร่ำครวญ รู้สึกท้อแท้ หมดหวังในชีวิต และไม่อยากที่จะทำอะไรอีกเลย
       
       แต่คนที่มองโลกในแง่ดี เขาจะพูดอย่างมีความหวังว่า “ยังดีที่ฉันไม่ตาย แม้จะต้องสูญเสียแขนซ้ายไป แต่ฉันยังเหลือแขนขวาที่จะใช้ชีวิตได้ต่อไป” แล้วเขาก็จะรีบยืนหยัดต่อสู้อย่างอาจหาญ ด้วยแขนที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวนั้น แม้ว่าบางครั้งชีวิตอาจจะยากลำบากอยู่บ้าง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของคนที่มองโลกในแง่ดี
       
       การมองโลกแง่ดีช่วยให้เรารู้สึกมีความหวังและมั่นใจในการทำสิ่งต่างๆ จงจำไว้ว่า หลังพายุเมฆฝนผ่านไป ท้องฟ้าก็จะกลับมาแจ่มใส และมักเกิดรุ้งกินน้ำที่สวยสดงดงามเสมอ
       
       2. อยู่กับความจริงที่เปลี่ยนแปลง
       
       ชีวิตไม่ได้มีแต่เรื่องสวยงามเท่านั้น ดังนั้น การพยายามคิดบวกตลอดเวลา เปรียบดั่งความต้องการให้คลื่นสูงในท้องทะเลไม่มีวันสลายตัว ซึ่งเป็นไปไม่ได้ และเมื่อเราตระหนักดีว่า ธรรมชาติของลูกคลื่นนั้น เมื่อก่อตัวสูง ก็ย่อมสลายตัวลง เราก็จะเข้าใจธรรมชาติของสรรพสิ่งที่มีเกิดและดับ ซึ่งจะช่วยให้รู้จักปล่อยวาง
       
       ที่สำคัญ..ขอให้เตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งเลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้น ขณะเดียวกัน ต้องคาดหวังสิ่งดีที่สุด เพราะจะทำให้คุณมีสติและมองโลกในแง่ดี
       
       3. รอยยิ้มและสิ่งดีๆที่เตือนความจำ
       
       มีงานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่า เมื่อคนเรายิ้ม จะช่วยกระตุ้นสมองส่วนที่เกี่ยวกับความรู้สึก ทำให้เรามีความสุขและมองปัจจุบันและอนาคตในแง่ดีมากขึ้น
       
       รวมทั้งควรส่งเสริมการคิดบวกด้วยสิ่งดีๆที่เตือนความจำ ด้วยการเขียนประโยคสั้นๆที่สร้างแรงบันดาลใจ อาทิ “ทุกสิ่งเป็นไปได้, จงใช้ชีวิตในด้านบวก, สิ่งที่ฉันควบคุมได้คือ ทัศนคติ หรือฉันมีทางเลือกเสมอ” ไว้ในที่ที่คุณมองเห็นเป็นประจำ เช่น บนกระจกในห้องน้ำ หรือเขียนใส่กระดาษแปะติดกับจอคอมพิวเตอร์
       
       4. ทำในสิ่งที่ควบคุมได้
       
       การมองโลกแง่ร้ายไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะนอกจากจะทำให้คุณเสียเวลาไปกับความคิดเลวร้ายที่ยังไม่เกิดขึ้นแล้ว มันยังขัดขวางไม่ให้คุณทำสิ่งต่างๆได้สำเร็จอีกด้วย และยังเป็นการเพาะนิสัยลังเล ไม่แน่ใจ ทำให้เสียเวลาอันมีค่าไปอย่างน่าเสียดาย ดังนั้น หากมัวแต่วิตกกังวล คุณยิ่งเหลือเวลาน้อยลงที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
       
       วิธีแก้ไขนั้น จงยอมรับในสิ่งที่คุณไม่อาจควบคุมได้ และคิดถึงสิ่งที่คุณสามารถทำเพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้น โปรดจำไว้ว่าคุณมีทางเลือกเสมอ
       
       5. อยู่ท่ามกลางคนคิดบวก
       
       หากรอบกายของคุณเต็มไปด้วยคนหดหู่ สิ้นหวัง มองทุกอย่างในแง่ลบ เชื่อว่า..คุณก็คงยิ้มไม่ออกและคิดอะไรไม่ออกเช่นกัน
       
       การจะเป็นคนที่มองโลกแง่ดีได้ คุณต้องพาตัวเองเข้าไปอยู่ในแวดวงของคนที่คิดบวก เพราะการคิดบวกเป็นนิสัยที่ฝึกฝนและติดต่อกันได้ แค่อยู่ในกลุ่มคนที่มองโลกแง่ดี คุณก็จะติดนิสัยคิดบวกได้เช่นกัน และอาจส่งต่อให้เพื่อนหรือคนแปลกหน้าได้รับรู้ด้วยการพูดและกระทำในด้านบวก เช่น ให้โอกาสคนที่มีสิ่งของเพียง 2-3 ชิ้น ลัดคิวจ่ายเงินในซุปเปอร์มาร์เก็ต การกระทำง่ายๆเช่นนี้ ส่งผลให้ทั้งผู้ให้และผู้รับรู้สึกดีๆไปพร้อมกัน
       
       เพราะฉะนั้น ถ้าเลือกได้ ก็จงเลือกที่จะคลุกคลีในวงเพื่อนฝูงที่คิดบวก เพราะนั่นหมายถึงจะทำให้พลังแห่งการคิดบวกของคุณเพิ่มมากขึ้น
       
       6. ปลูกฝังความรักในใจ
       
       ความรักคือพลังอันยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล และความรักทำให้โลกนี้เป็นสีชมพู คนที่มีความรักจึงมองโลกสดใสสวยงาม มองโลกในแง่ดี
       
       เพราะฉะนั้น จึงควรบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความรักให้เกิดขึ้นในใจทุกวินาที และมอบความรักนั้นให้แก่คนรอบข้าง ทั้งคนในครอบครัว ญาติสนิทมิตรสหาย หรือแม้แต่คนแปลกหน้า เมื่อเรามอบความรักออกไป มันจะช่วยเพิ่มพลังบวก และเป็นด่านป้องกันภัยจากสิ่งเลวร้าย
       
       7. ยอมรับความไม่เที่ยง
       
       มีงานวิจัยเผยว่า คนมองโลกแง่ดีและคนมองโลกแง่ร้าย มีมุมมองเรื่องความสำเร็จและล้มเหลวแตกต่างกัน คนคิดลบมักมองความล้มเหลวหรือเหตุการณ์ร้ายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นถาวร เกิดกับเขาคนเดียว และทำให้ชีวิตแย่ลง ขณะที่คนคิดบวกมองว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วคราว เกิดกับใครก็ได้ และไม่ทำให้ชีวิตแย่ลง
       
       พระพุทธเจ้าสอนว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกล้วนเป็นอนิจจัง ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน เพราะฉะนั้น อย่ายึดมั่นถือมั่น จนทำให้ชีวิตเป็นทุกข์
       
       8. เห็นคุณค่าสิ่งดีๆในชีวิต
       
       มีหลายสิ่งในชีวิตที่เป็นเรื่องดีและสวยงาม แค่หาเวลาหยุดคิดใคร่ครวญสักนิด แล้วคุณจะเห็นคุณค่าของมัน ซึ่งจะทำให้คุณมีทัศนคติที่ดีขึ้น
       
       ลองเริ่มทำบันทึกสิ่งดีๆในชีวิต ด้วยการเขียนเรื่องราวหรือวาดภาพสิ่งที่ทำให้คุณยิ้มได้ เช่น รูปสัตว์เลี้ยง หรือคำชมของเพื่อนๆ เลือกเก็บเฉพาะสิ่งดีๆ และยามใดที่รู้สึกท้อแท้ นำมาเปิดอ่าน จะทำให้คุณยิ้มได้
       
       9. อยู่กับปัจจุบันขณะ
       
       คนทั่วไปมักถูกครอบงำด้วยเรื่องราวในอดีต และอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แต่จริงๆแล้วชีวิตที่ต้องดำเนินไป คือชีวิตในปัจจุบันขณะ คุณไม่อาจเรียนรู้หรือจดจำบางสิ่งบางอย่างที่กำลังเกิดขึ้นได้ หากใจติดอยู่กับห้วงเวลาอื่น
       
       งานวิจัยบอกไว้ว่า การรับข้อมูลใหม่เข้าไปเก็บยังสมองส่วนความจำระยะยาวนั้น ต้องใช้เวลา 8 วินาที ดังนั้น อย่าใจลอย หมกมุ่นอยู่กับอดีตหรือกังวลเรื่องของอนาคต แต่จงฝึกการใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันขณะอย่างมีสติ
       
    Cr.   (จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 147 มีนาคม 2556 โดย ประกายรุ้ง)

วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556

โปรดเงียบ !! ..คอยฟังฝูงหนู กระแอมกระไอ


โปรดเงียบ !! ..คอยฟังฝูงหนู กระแอมกระไอ



   การ​ใช้​หนู​เป็น​สัตว์​ทดลอง​ยา โดยเฉพาะ​ยา​แก้​ไอ ได้​รับ​การ​ยืนยัน​ว่าเหมาะสม​ที่สุด​แล้ว เพิ่ง​จะ​พบ​จากศึกษา​ว่ามัน​เป็น​สัตว์​ที่​กระแอม​กระ​ไอ​ได้​อย่าง​มนุษย์

วารสาร “วิทยาศาสตร์​สิ่ง​ที่​มี​ชีวิต” รายงาน​ว่า นัก​วิทยาศาสตร์​ของ​วิทยาลัย​แพทย์​ใน​จีน ได้​พบ​ใน​การทดลอง​กับ​หนู 40 ตัว ให้​มัน​ดม​ละออง​ของ​สาร​เผ็ด​จาก​พริก พร้อม​กับ​คอย​วัด​ขนาด​หรือ​ปริมาตร​ของ​อวัยวะ​ของ​มันด้วย​เครื่องมือ​แพทย์ ร่วม​กับ​การ​สังเกต​อาการ และ​ใช้​ไมโครโฟน​จิ๋วคอย​ฟัง​เสียง​กระแอม​กระ​ไอ​ของ​มัน​อยู่​ด้วย นัก​วิทยาศาสตร์​รู้อยู่​แล้ว​ว่าหนู​จะ​ทำ​เสียงเมื่อ​ตอน​ดม ขบ​ฟัน เกา​จมูก​และ​เอียง​หัว​ต่างๆกัน
ใน​บรรดา​เสียง​ที่​มัน​ทำ​ขึ้น​นี้ นัก​วิจัย​สามารถ​จะ​เชื่อ​ได้​ว่าเป็น​เสียง​ไอ​มีเสียง​ดัง เมื่อ​มัน​สะบัด​หัว ท้อง​กระตุก​และ​อ้า​ปาก ทำท่า​ว่า​จะ​ไอ​จาม และ​เมื่อ​หยด​ยา​โค​เด​อี​น อันเป็น​ยา​แก้​ไอ​ให้​มัน อาการ​จะ​หาย​ลง​อย่าง​รวดเร็ว
ปัจจุบัน นัก​วิทยาศาสตร์​ก็ได้​ใช้​หนู​ตะเภาใน​การ​ลอง​ยา​แก้​ไอ​และ​ยา​อื่นๆอยู่​แล้ว เสีย​แต่​ว่า​หนู​ตะเภา​แพง​กว่า​หนู​พันธุ์​เล็ก​อื่นๆ.

  





วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ลาบราดอร์รีทรีฟเวอร์ (Labrador Retriever)


ลาบราดอร์รีทรีฟเวอร์ (Labrador Retriever)

       

    ประวัติ

                    
 ลาบราดอร์รีทรีฟเวอร์ มีต้นตระกูลอยู่ที่นิวฟันด์แลนด์ ชายฝั่งทะเล ประเทศแคนาดา และในช่วงต้นศตวรรษที่19 ได้มีการนำสุนัขพันธุ์นี้ไปยังประเทศอังกฤษทางเรือประมง และต่อมาก็ได้มีการพัฒนาสายพันธุ์และเลี้ยงขึ้นมาในฐานะสุนัขล่าเหยื่อ และยังถูกใช้เป็นสุนัขกู้ภัย เพราะสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วแม้ในภูมิประเทศที่ขรุขระหรือแม้กระทั่งพื้นที่ที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็ง ลาบราดอร์รีทรีฟเวอร์เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องความอดทน เข้มแข็ง มีความสามารถในการดมกลิ่นดีเยี่ยม มีความปรารถนาจะเอาใจผู้อื่นอีกด้วย และเป็นสุนัขที่ขี้เล่นกับเจ้าของเอามากๆ ^^


ช่วงชีวิตเฉลี่ย
            
              มีช่วงชีวิตระหว่าง 12-15 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม และการดูแลเอาใจใส่

      
         อุปนิสัย

                      สุนัขพันธุ์ลาบราดอร์รีทรีฟเวอร์เป็นสุนัขที่ฉลาดหลักแหลม กระตือรือร้น รักสนุก ช่างเอาอกเอาใจ เป็นสายพันธุ์ที่เหมาะกับครอบครัวที่มีเด็กเล็ก คุณสมบัติอีกอย่างของแลบราดอร์ริทรีฟเวอร์ก็คือ เป็นสุนัขเฝ้ายามที่ดี เนื่องจากมีเสียงเห่าทุ้มและหนักแน่น เป็นที่น่าเกรงขามเพื่อเตือนเมื่อมีผู้บุกรุก


         ความเข้ากันได้กับสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ                      
                     
                    ลาบราดอร์รีทรีฟเวอร์เป็นสุนัขที่มีลักษณะนิสัยเป็นมิตร สามารถเลี้ยงร่วมกับสัตว์ชนิดอื่นได้ดี


         ความต้องการการเอาใจใส่ดูแล

                       สำหรับสุนัขพันธุ์นี้ ต้องมีคอกที่ใหญ่และมีรั้วสูงล้อมรอบ ในฤดูร้อนก็ควรมีพื้นที่มีร่มเงาสำหรับสุนัขพันธุ์นี้ด้วย เช่นเดียวกับสุนัขทั่วไป พวกเขาจะมีความสุขมากกว่าหากมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง สำหรับสุนัขที่โตแล้ว ควรให้เขาเดินได้วันละ 30 นาที จะทำให้พวกเขาแข็งแรง ในขณะที่สำหรับลูกสุนัข จะใช้เวลาในการเล่นทั้งวัน สำหรับผู้ที่คิดจะเลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้บ้านของคุณควรมีบริเวณสนามหลังบ้าน ไว้ให้พวกเขาได้วิ่งเล่น และพวกเขายังเป็นจอมเคี้ยวและจอมขุดตัวยงอีกด้วย ถ้าคุณอยากให้สวนของคุณ สวยเหมือนเดิม ให้เตรียมกั้นรั้วไว้ว่าบริเวณไหนที่คุณจะอนุญาตให้เขาเล่นได้ เนื่องจากสุนัขพันธุ์นี้จะอ้วนง่ายเวลาที่มีอายุมากขึ้นซึ่งสามารถก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพ ดังนั้นจึงควรดูแลอาหารการกินที่มีปริมาณและคุณค่าทางอาหารเหมาะสมตามวัยของสุนัข






       ผู้เลี้ยงที่เหมาะสม

                      
                      ลูกสุนัขพันธุ์ลาบราดอร์จะร่าเริงและควบคุมได้ยากสำหรับสมาชิกในครอบครัวซึ่งเป็นเด็กเล็กหรือผู้สูงอายุ และเจ้าของสุนัขพันธุ์ควรมีสนามหลังบ้านซึ่งมีรั้วรอบขอบชิดอีกด้วย สุนัขแลบราดอร์ริทรีฟเวอร์เป็นสุนัขที่อ้วนง่าย ควรให้ออกกำลังกายเป็นประจำและสม่ำเสมอ
                         
        

โรค

                            


 -โรคข้อสะโพกเสื่อม (Hip Dysplasia) เป็นโรคกระดูกที่พบได้มากในสุนัขพันธุ์ใหญ่ (Giant and large breed) โดยพบมากถึง 1 ใน 3 ของโรคกระดูกทั้งหมดใน สุนัข โดยโรคนี้จะมีพัฒนาการในช่วงที่มีการเจริญเติบโต ของกระดูกจึงอาจพบได้ตั้งแต่ 4-12 เดือน

     -โรคกระดูกอ่อน เป็นโรคที่เกิดขึ้นกับสุนัขที่มีการเจริญเติบโตของกระดูกไม่สมบูรณ์ จะมีอาการที่พบเห็นทั่วไป คือ สุนัขมีอาการขาโก่ง หรือขณะเดินจะสังเกตว่าขาจะไม่มั่นคง จะปัดไปปัดมา ซึ่งสาเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น ขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ในช่วงที่กำลังเจริญวัย กินอาหารครั้งละมาก ๆ กินแล้วก็นอน ฯลฯ และผลที่ตามมา ขาก็จะลีบเล็กลง โดยที่มีน้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้ขาเสียในที่สุด วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือ ให้อาหารสุนัขไม่ต้องมากในแต่ละมื้อ โดยอาจจะเพิ่มจำนวนมื้อให้มากยิ่งขึ้น และให้เวลากับสุนัขของคุณโดยพาออกไปวิ่งเล่นออกกำลังกายยามว่าง ที่สำคัญอาหารที่ให้ก็ควรมีคุณค่าสารอาหารครบถ้วน ไม่ควรที่จะให้ข้าวคลุกกับข้าวติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ ควรจะให้สลับกับอาหารสำเร็จรูปสำหรับสุนัขบ้าง เพราะอาหารเหล่านั้นจะมีสารอาหารอย่างครบถ้วนสมบูรณ์
    -โรคขาดฮอร์โมนไทรอยด์ กล่าว คือ ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนน้อยกว่าปกติ และก่อให้เกิดความผิดปกติต่าง ๆ ของร่างกาย โดยแสดงออกทางผิวหนัง อาการที่พบคือ สุนัขจะมีอาการขนร่วง เช่น ข้างลำตัว รอบก้นและหาง หน้าอก ในสุนัขอายุมากมักพบรังแคกระจายทั่วร่างกาย อาจพบผิวหนังมีเม็ดสีสะสม มักพบเป็นสีดำ อาจมีน้ำหนักตัวมากกว่าปกติ อ่อนเพลีย ซึ่งโรคนี้มักพบในสุนัขอายุ 6-10 ปี แต่ถ้าเป็นสุนัขพันธุ์ใหญ่สามารถพบในอายุน้อยกว่า 6 ปีได้ ดังนั้น หากสุนัขของคุณมีอาการดังนี้ แนะนำให้พาสุนัขมาตรวจกับสัตวแพทย์เพื่อรับการรักษาจะดีที่สุด
   -โรคประสาทตาเสื่อม อาจเรียกได้ว่าเป็นโรคประจำของสุนัขแลบราดอร์เนื่องจากพบอัตราการป่วยมากกว่าสายพันธุ์อื่น โดยอาการจอตาเสื่อมมีหลายชนิด ขึ้นอยู่กับบริเวณของจอตาที่มีปัญหา อาการที่สังเกตได้คือ สุนัข จะมองภาพได้ไม่ชัดเจนในที่มีแสงน้อย และเจ้าของจะรู้สึกว่าตาแวววาวผิดปกติ เนื่องจากม่านตาขยายเพื่อให้แสงผ่านไปได้มากขึ้น สุนัข อาจเห็นภาพได้แคบลง จึงต้องหันหัวมอง หรืออาจเดินชนสิ่งของ ส่วนใหญ่อาการนี้ไม่สามารถรักษาได้ แต่ไม่ใช่ทุกตัวที่เป็นจะต้องตาบอดอย่างสมบูรณ์ ทั้งนี้ต้องได้รับตรวจอย่างละเอียด
   -โรคต้อกระจก มักเกิดกับสุนัขที่มีอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป โดยจะมองเห็นแก้วตามีลักษณะขุ่นขาว ซึ่งสุนัขยังพอมองเห็นได้ แต่ถ้าแก้วตาขุ่นเพิ่มมากขึ้นก็จะทำให้มองไม่เห็น เนื่องจากแสงไม่สามารถผ่านเข้าไปยังจอรับภาพได้ ทั้งนี้สาเหตุเป็นเพราะโรคเบาหวาน หรือได้รับบาดเจ็บมีแผลที่ตา อย่างไรก็ตาม โรคต้อกระจกอาจจะพบได้ในสัตว์อายุน้อยตั้งแต่เกิดจนถึง 3 ปี เนื่องจากเป็นมาตั้งแต่เกิด สำหรับการรักษา ควรรีบพาสุนัขของคุณไปพบสัตวแพทย์ เพื่อรับการตรวจและรักษาทันที หากปล่อยทิ้งไว้นาน จะทำให้การรักษายากขึ้น และอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ตาบอดได้
   -โรคลมบ้าหมูจะทำให้สุนัขชักบ่อย ๆ และควบคุมการทรงตัวไม่ได้ การแก้ไขเบื้องต้นควรหาสถานที่ให้สุนัขอยู่อย่างสงบในห้องที่มืดๆ จนกว่าอาการชักจะทุเลาลง ในระหว่างที่สุนัขชัก อย่าได้เข้าไปจับตัวเด็ดขาด เพราะมันอาจหันมากัดได้ ทั้งนี้ ยารักษาโรคลมบ้าหมูอาจช่วยลดอาการชักให้น้อยลงได้ แต่ควรปรึกษาการใช้ยาจากสัตวแพทย์ สำหรับสาเหตุของโรคชักเกิดจากพยาธิในลำไส้เป็นตัวการสำคัญ