การมองโลกในแง่ดีนั้นเป็นสิ่งที่คนเราสามารถฝึกฝนขึ้นมาได้ มีงานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่า ในระยะยาว คนที่มองโลกในแง่ดีจะรับมือกับความเครียดได้ดีกว่าคนมองโลกในแง่ร้าย รวมทั้งเจ็บป่วยน้อยกว่า อายุยืนกว่า มีความสุขและความสำเร็จมากกว่าด้วย
“คนมองโลกในแง่ดี” ในที่นี้หมายถึง บุคคลที่ให้ความสำคัญกับเรื่องราวด้านบวกมากกว่าด้านลบ และหากคุณคิดอยากเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนมองโลกในแง่ดี บางทีเทคนิคเล็กๆน้อยนี้อาจช่วยคุณได้
1.ใช้วิกฤตให้เป็นโอกาส
ท่ามกลางวิกฤต ยังมีโอกาสที่จะทำให้คุณได้ฝึกมองโลกในแง่ดี ยกตัวอย่างเช่น หากเกิดอุบัติเหตุ จนต้องสูญเสียแขนซ้ายไป คนส่วนใหญ่มักเศร้าเสียใจ ร้องไห้คร่ำครวญ รู้สึกท้อแท้ หมดหวังในชีวิต และไม่อยากที่จะทำอะไรอีกเลย
แต่คนที่มองโลกในแง่ดี เขาจะพูดอย่างมีความหวังว่า “ยังดีที่ฉันไม่ตาย แม้จะต้องสูญเสียแขนซ้ายไป แต่ฉันยังเหลือแขนขวาที่จะใช้ชีวิตได้ต่อไป” แล้วเขาก็จะรีบยืนหยัดต่อสู้อย่างอาจหาญ ด้วยแขนที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวนั้น แม้ว่าบางครั้งชีวิตอาจจะยากลำบากอยู่บ้าง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของคนที่มองโลกในแง่ดี
การมองโลกแง่ดีช่วยให้เรารู้สึกมีความหวังและมั่นใจในการทำสิ่งต่างๆ จงจำไว้ว่า หลังพายุเมฆฝนผ่านไป ท้องฟ้าก็จะกลับมาแจ่มใส และมักเกิดรุ้งกินน้ำที่สวยสดงดงามเสมอ
2. อยู่กับความจริงที่เปลี่ยนแปลง
ชีวิตไม่ได้มีแต่เรื่องสวยงามเท่านั้น ดังนั้น การพยายามคิดบวกตลอดเวลา เปรียบดั่งความต้องการให้คลื่นสูงในท้องทะเลไม่มีวันสลายตัว ซึ่งเป็นไปไม่ได้ และเมื่อเราตระหนักดีว่า ธรรมชาติของลูกคลื่นนั้น เมื่อก่อตัวสูง ก็ย่อมสลายตัวลง เราก็จะเข้าใจธรรมชาติของสรรพสิ่งที่มีเกิดและดับ ซึ่งจะช่วยให้รู้จักปล่อยวาง
ที่สำคัญ..ขอให้เตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งเลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้น ขณะเดียวกัน ต้องคาดหวังสิ่งดีที่สุด เพราะจะทำให้คุณมีสติและมองโลกในแง่ดี
3. รอยยิ้มและสิ่งดีๆที่เตือนความจำ
มีงานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่า เมื่อคนเรายิ้ม จะช่วยกระตุ้นสมองส่วนที่เกี่ยวกับความรู้สึก ทำให้เรามีความสุขและมองปัจจุบันและอนาคตในแง่ดีมากขึ้น
รวมทั้งควรส่งเสริมการคิดบวกด้วยสิ่งดีๆที่เตือนความจำ ด้วยการเขียนประโยคสั้นๆที่สร้างแรงบันดาลใจ อาทิ “ทุกสิ่งเป็นไปได้, จงใช้ชีวิตในด้านบวก, สิ่งที่ฉันควบคุมได้คือ ทัศนคติ หรือฉันมีทางเลือกเสมอ” ไว้ในที่ที่คุณมองเห็นเป็นประจำ เช่น บนกระจกในห้องน้ำ หรือเขียนใส่กระดาษแปะติดกับจอคอมพิวเตอร์
4. ทำในสิ่งที่ควบคุมได้
การมองโลกแง่ร้ายไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะนอกจากจะทำให้คุณเสียเวลาไปกับความคิดเลวร้ายที่ยังไม่เกิดขึ้นแล้ว มันยังขัดขวางไม่ให้คุณทำสิ่งต่างๆได้สำเร็จอีกด้วย และยังเป็นการเพาะนิสัยลังเล ไม่แน่ใจ ทำให้เสียเวลาอันมีค่าไปอย่างน่าเสียดาย ดังนั้น หากมัวแต่วิตกกังวล คุณยิ่งเหลือเวลาน้อยลงที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
วิธีแก้ไขนั้น จงยอมรับในสิ่งที่คุณไม่อาจควบคุมได้ และคิดถึงสิ่งที่คุณสามารถทำเพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้น โปรดจำไว้ว่าคุณมีทางเลือกเสมอ
5. อยู่ท่ามกลางคนคิดบวก
หากรอบกายของคุณเต็มไปด้วยคนหดหู่ สิ้นหวัง มองทุกอย่างในแง่ลบ เชื่อว่า..คุณก็คงยิ้มไม่ออกและคิดอะไรไม่ออกเช่นกัน
การจะเป็นคนที่มองโลกแง่ดีได้ คุณต้องพาตัวเองเข้าไปอยู่ในแวดวงของคนที่คิดบวก เพราะการคิดบวกเป็นนิสัยที่ฝึกฝนและติดต่อกันได้ แค่อยู่ในกลุ่มคนที่มองโลกแง่ดี คุณก็จะติดนิสัยคิดบวกได้เช่นกัน และอาจส่งต่อให้เพื่อนหรือคนแปลกหน้าได้รับรู้ด้วยการพูดและกระทำในด้านบวก เช่น ให้โอกาสคนที่มีสิ่งของเพียง 2-3 ชิ้น ลัดคิวจ่ายเงินในซุปเปอร์มาร์เก็ต การกระทำง่ายๆเช่นนี้ ส่งผลให้ทั้งผู้ให้และผู้รับรู้สึกดีๆไปพร้อมกัน
เพราะฉะนั้น ถ้าเลือกได้ ก็จงเลือกที่จะคลุกคลีในวงเพื่อนฝูงที่คิดบวก เพราะนั่นหมายถึงจะทำให้พลังแห่งการคิดบวกของคุณเพิ่มมากขึ้น
6. ปลูกฝังความรักในใจ
ความรักคือพลังอันยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล และความรักทำให้โลกนี้เป็นสีชมพู คนที่มีความรักจึงมองโลกสดใสสวยงาม มองโลกในแง่ดี
เพราะฉะนั้น จึงควรบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความรักให้เกิดขึ้นในใจทุกวินาที และมอบความรักนั้นให้แก่คนรอบข้าง ทั้งคนในครอบครัว ญาติสนิทมิตรสหาย หรือแม้แต่คนแปลกหน้า เมื่อเรามอบความรักออกไป มันจะช่วยเพิ่มพลังบวก และเป็นด่านป้องกันภัยจากสิ่งเลวร้าย
7. ยอมรับความไม่เที่ยง
มีงานวิจัยเผยว่า คนมองโลกแง่ดีและคนมองโลกแง่ร้าย มีมุมมองเรื่องความสำเร็จและล้มเหลวแตกต่างกัน คนคิดลบมักมองความล้มเหลวหรือเหตุการณ์ร้ายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นถาวร เกิดกับเขาคนเดียว และทำให้ชีวิตแย่ลง ขณะที่คนคิดบวกมองว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วคราว เกิดกับใครก็ได้ และไม่ทำให้ชีวิตแย่ลง
พระพุทธเจ้าสอนว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกล้วนเป็นอนิจจัง ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน เพราะฉะนั้น อย่ายึดมั่นถือมั่น จนทำให้ชีวิตเป็นทุกข์
8. เห็นคุณค่าสิ่งดีๆในชีวิต
มีหลายสิ่งในชีวิตที่เป็นเรื่องดีและสวยงาม แค่หาเวลาหยุดคิดใคร่ครวญสักนิด แล้วคุณจะเห็นคุณค่าของมัน ซึ่งจะทำให้คุณมีทัศนคติที่ดีขึ้น
ลองเริ่มทำบันทึกสิ่งดีๆในชีวิต ด้วยการเขียนเรื่องราวหรือวาดภาพสิ่งที่ทำให้คุณยิ้มได้ เช่น รูปสัตว์เลี้ยง หรือคำชมของเพื่อนๆ เลือกเก็บเฉพาะสิ่งดีๆ และยามใดที่รู้สึกท้อแท้ นำมาเปิดอ่าน จะทำให้คุณยิ้มได้
9. อยู่กับปัจจุบันขณะ
คนทั่วไปมักถูกครอบงำด้วยเรื่องราวในอดีต และอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แต่จริงๆแล้วชีวิตที่ต้องดำเนินไป คือชีวิตในปัจจุบันขณะ คุณไม่อาจเรียนรู้หรือจดจำบางสิ่งบางอย่างที่กำลังเกิดขึ้นได้ หากใจติดอยู่กับห้วงเวลาอื่น
งานวิจัยบอกไว้ว่า การรับข้อมูลใหม่เข้าไปเก็บยังสมองส่วนความจำระยะยาวนั้น ต้องใช้เวลา 8 วินาที ดังนั้น อย่าใจลอย หมกมุ่นอยู่กับอดีตหรือกังวลเรื่องของอนาคต แต่จงฝึกการใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันขณะอย่างมีสติ
Cr. (จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 147 มีนาคม 2556 โดย ประกายรุ้ง)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น